รายละเอียดกระทู้
ชื่อเรื่อง การพัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD โดยใช้แบบฝึกทักษะ
คณิตศาสตร์ เรื่อง ความน่าจะเป็น ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
ผู้ศึกษา นางศิริลักษณ์ พรมกันหา
ปีที่พิมพ์ 2559
บทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้จึงมีความมุ่งหมายเพื่อ 1) พัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่องความน่าจะเป็น ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2) หาค่าดัชนีประสิทธิผลของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่องความน่าจะเป็น 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลัง การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่องความน่าจะเป็น 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์
เรื่อง ความน่าจะเป็น กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนศิลาลาดวิทยา
อำเภอศิลาลาด จังหวัดศรีสะเกษ สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษ ภาคเรียนที่ 2
ปีการศึกษา 2559 จำนวน 1 ห้องเรียน คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 จำนวน 27 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้จำนวน 16 แผน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องความน่าจะเป็น ซึ่งเป็นแบบปรนัยชนิด 4 ตัวเลือกจำนวน 30 ข้อ โดยมีค่าความยากตั้งแต่ 0.40 ถึง 0.60 และค่าอำนาจจำแนก (B) ตั้งแต่ 0.57 ถึง 0.87 และมีค่าความเชื่อมั่นของข้อสอบทั้งฉบับเท่ากับ 0.98 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น 3) แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ความน่าจะเป็น จำนวน 16 เล่ม ซึ่งมีผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพ ในครั้งนี้ เท่ากับ 84.41/81.73 และ 4) แบบวัดความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่องความน่าจะเป็น เป็นแบบวัดที่ใช้มาตราการประมาณค่า (Rating scale) ชนิด 5 ตัวเลือกจำนวน 12 ข้อ ซึ่งมีค่าอำนาจจำแนกรายข้อตั้งแต่ 0.50 ถึง 0.86 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.91 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิตและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดยใช้ t – test (Dependent Sample)
ผลการศึกษาพบว่า 1) การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่องความน่าจะเป็น มีประสิทธิภาพเท่ากับ 84.41/81.73 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ คือ 75/75 2) การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์
เรื่อง ความน่าจะเป็น มีค่าดัชนีประสิทธิผลมีค่าเท่ากับ 0.7228 แสดงว่าแผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่องความน่าจะเป็น ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นทำให้นักเรียนมีความก้าวหน้าทางการเรียน โดยมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น 0.7228 หรือคิดเป็นร้อยละ 72.28 3) นักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่องความน่าจะเป็น มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 4) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่องความน่าจะเป็น ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นโดยภาพรวมความพึงพอใจทุกด้านอยู่ในระดับมาก คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.31 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.72
โดยสรุป การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์
เรื่องความน่าจะเป็น มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ทำให้ผู้เรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นหลังจากเรียน รวมทั้งผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรียนรู้อยู่ในระดับมาก จึงเหมาะที่ครูผู้สอน ผู้บริหารโรงเรียน ศึกษานิเทศก์ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง จะนำไปใช้ในการสอนและประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับเนื้อหาวิชา
เพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ให้เกิดประสิทธิภาพต่อไป
|